พระสหายแห่งสายบุรี ... น้ำตาแห่งความภักดี .... ไม่เคยเหือดแห้ง ...
เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเปิดทีวีผ่านไปที่ช่องทีวีไทยโดยบังเอิญ เป็นความบังเอิญที่ทำให้ต้องหยุดดูจนจบรายการ รายการนั้นชื่อว่า ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย (ถ้าจำไม่ผิด) เป็นตอนที่นำเสนอ เรื่องราวของบุคคลผู้หนึ่ง ที่เราได้ยินชื่อและรู้จักท่านมานาน คุณปู่วาเด็ง ปูเต๊ะ ผู้ที่เป็น " พระสหายแห่งสายบุรี " ชายชราชาวมุสลิมที่มีความจงรักภักดีต่อในหลวงไม่เสื่อมคลาย ข้าพเจ้าหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปคุณปู่ผ่านหน้าจอทีวี ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะทำเช่นนี้ คุณปู่เดินทางจากอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี มาโรงพยาบาลศิริราช ด้วยเหตุผลเดียวกันกับคนไทยอีกหลายล้านคนที่ไปที่นั่นเพื่อ " ลงนามถวายพระพรให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวร " คุณปู่เลือกชุดที่ดีที่สุดที่เก็บรักษาไว้ และด้วยเงิน 1,700 บาทที่ติดตัวมา คุณปู่ยังแวะลงกลางทาง เพื่อซื้อหารองเท้าคู่ใหม่ แทนคู่เก่าที่ใช้มาหลายปี เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้า ซึ่งคุณปู่ก็ได้ไปสั่งตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ แถมยังไปนั่งเฝ้าอยู่ที่ร้านหลายวัน ด้วยกลัวจะตัดเสร็จไม่ทันวันเดินทาง คุณปู่บอกว่า " เพื่อให้พระองค์เห็นวาเด็งแต่งกายเรียบร้อย ไม่อายคนที่ได้เป็นพระสหายแห่งสายบุรี " อีกครั้งทันทีที่ทราบข่าวพระอาการประชวรของในหลวง คุณปู่อยากเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และเมื่อมีโอกาส รอยยิ้มบนใบหน้าของชายชราผู้จงรักภักดี ก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจไปด้วย ทางรายการถามว่า ทำไมเวลาคุณปู่พูดถึงในหลวงถึงน้ำตาซึม คุณปู่วาเด็งเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำตารื้นๆ ที่ขอบตาอีกครั้ง คุณปู่พูดเบาๆ ว่า " ตื้นตัน " ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงตัวเอง และคนไทยอีกหลายๆ คน ที่เวลาพูดถึงพระองค์ท่าน อดไม่ได้ที่จะต้องน้ำตาซึม จะมีใครสักกี่คนในโลกใบนี้หนอ ที่เมื่อเรานึกถึง จะทำให้เราปลาบปลื้มและตื้นตัน จนเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ นึกๆ แล้ว นอกจาก พ่อแม่ ก็เห็นจะไม่มี ทางรายการถามต่อไปว่า ถ้าขอได้ อยากขอให้คนไทยทำอะไรเพื่อในหลวง คุณปู่ตอบว่า เราไม่สามารถขอให้ทุกคนทำอะไรเพื่อในหลวงได้ แต่อยากให้ทำทุกอย่างเพื่อส่วนรวม อย่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และคำพูดจากหัวใจของชายชราผู้ภักดีคนนี้ที่บอกเล่าถึงสิ่งที่เขารู้สึก " ผมไม่สามารถขอให้คนไทยทุกคนรักในหลวงอย่างที่ผมรัก แต่ผมรักในหลวงหมดหัวใจ ผมทำทุกอย่างเพื่อพระองค์ท่านได้ " คำพูดจากปากของชายชราผู้หนึ่ง ที่แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด หากจะยังก้องสะท้อนอยู่ในหัวใจไปอีกตราบนานเท่านาน ข้าพเจ้าเชื่อว่ายังมีคนไทยอีกหลายล้านคนที่รักและภักดีต่อพระองค์ท่าน ในหลวง พระผู้ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย .................................................................................. ประวัติ วาเด็งปูเต๊ะ หรือ "เป๊าะเด็ง" หรือที่รู้จักกันในนาม "พระสหายสายบุรี" ย้อนไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2535 ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จพระราชดำเนินไปโครงการพัฒนาพรุแฆ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี จึงทำให้เป๊าะเด็ง และพสกนิกรในพื้นที่ทุกคนพ้นจากความทุกข์ยาก ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม นอกจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว การทูลเกล้าฯ ถวายข้อมูลในพื้นที่ และที่ดินผืนหนึ่งเพื่อทำโครงการพระราชดำริ จึงทำให้เป๊าะเด็งได้กลายมาเป็น " พระสหาย" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งถือเป็นเกียรติยศสูงสุดในชีวิตที่น้อยคนจะได้รับ วันนั้นเป๊าะกำลังทำสวนอยู่กับภรรยา คุณหญิงคนหนึ่งมาบอกว่า "ในหลวง" ต้องการพบตัวแต่ภรรยาไม่กล้าไปพบ จนกระทั่งเป๊าะเลี้ยงโคกลับมา ก็มีตำรวจมาตามเป็นครั้งที่สอง เป๊าะตกใจมากว่าตำรวจมาตามเรื่องอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด จนกระทั่งสื่อสารกันเข้าใจว่าในหลวง ต้องการมาสร้างฝายกั้นน้ำคลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ.สายบุรี เพื่อช่วยเหลือเรื่องแหล่งน้ำแก่ชาวบ้านในการทำการเกษตร เป๊าะ ถึงกล้าไปพบ
แต่ตอนนั้นเป๊าะ ยังไม่ค่อยเชื่อว่าพระองค์จะเข้ามาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้ จึงคิดว่าคนที่มาบอกโกหก ขนาดมาพบพระองค์แล้วเป๊าะ ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นในหลวงจริงหรือเปล่า จึงแอบหยิบเงินใบละ 100 ใบ กับใบละ 20 บาทขึ้นมาดู จึงแน่ใจว่าเป็นพระองค์เสด็จฯ มาจริงๆ
ตอนแรกที่พบในหลวงเป๊าะ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆ เพราะตอนนั้นนุ่งโสร่งตัวเดียว เสื้อก็ไม่ได้ใส่ด้วย แต่พอเข้าไปใกล้ๆ ในหลวงก็ตรัสเป็นภาษามลายู ว่า จะสร้างคลองชลประทานให้ หลังจากนั้นในหลวงท่านก็ทรงสอบถามเส้นทางการขุดคลอง และข้อมูลในพื้นที่อื่นๆ พระองค์ยังตรัสชมว่า วาเด็งเป็นคนรู้พื้นที่จริง วันรุ่งขึ้น ข้าราชการที่มารับเสด็จก็ต้องตกตะลึงไปตามๆกัน เมื่อพระองค์ทรงรับสั่งให้เป๊าะพายเรือให้พระองค์เพื่อทำการสำรวจคลองสายทุ่งเค็จ พระองค์มีพระราชดำรัสถาม พร้อมเปิดแผนที่เพื่อให้รู้ว่าจะสร้างแหล่งชลประทานอย่างไร
ตอนพายเรืออยู่ ในหลวงตรัสด้วยว่า "ให้วาเด็งทำตัวให้สบาย มีอะไรที่ชาวบ้านเดือดร้อนก็ให้เล่ามาตามความจริง"
ในหลวงคงจะทรงลองใจเป๊าะจึงตรัสถามขอที่ดิน เพื่อทำโครงการพระราชดำริ ด้วยความปลาบปลื้ม เป๊าะจึงขอยกที่ดินถวายให้พระองค์ทันที ในหลวงจึงแย้มพระสรวล และมีพระราชดำรัสว่าให้เป๊าะเป็น " พระสหาย ตั้งแต่บัดนั้น
ในหลวงตรัสเรื่องนี้ว่า " วาเด็งเป็นคนซื่อตรง จึงขอแต่งตั้งให้วาเด็งเป็นเพื่อนของในหลวง" พร้อมทรงชวนให้เป๊าะและภรรยาเดินทางไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ และเมื่อพระองค์เสด็จฯ มาสามจังหวัดก็เรียกให้เข้าเฝ้าที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ทุกครั้ง
ต่อมาในหลวงทรงสงสารจึงมอบเงินให้เป๊าะครั้งละหลายหมื่นบาท หากไม่ได้เสด็จฯ มาก็ทรงฝากเงินมากับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แทบทุกครั้ง
ล่าสุด ในหลวง ตรัสว่าให้วาเด็งหยุดทำงานได้แล้ว เพราะแก่แล้ว อายุมากแล้ว ทรงเป็นห่วงสุขภาพวาเด็ง กลัวว่าทำงานหนักจะไม่สบาย เป๊าะก็นั่งทบทวนคำตรัสของพระองค์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มด้วยความภาคภูมิ กับคำว่า "พระสหายแห่งสายบุรี" นอกจากละหมาดขอพระผู้เป็นเจ้าเป๊าะยังเดินทางจาก จ.นราธิวาส มาเยี่ยมพระอาการประชวรของในหลวงถึง รพ.ศิริราช ด้วย เป๊าะเด็งเป็น "แบบอย่าง" ของคนที่ซื่อสัตย์ เจียมเนื้อเจียมตัวและใช้จ่ายอย่างประหยัด เพราะต้องการทำตัวให้เป็นแบบอย่างตามพระราชดำรัสของในหลวงที่รู้จักกินรู้จักใช้ ตามวิถีทางชุมชนชนบทกับเศรษฐกิจพอเพียงของชาวบ้านจนถึงทุกวันนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ดีใจและปลาบปลื้มใจมากที่สุด คือ พระสหายแห่งสายบุรีได้มีโอกาสเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งในฐานะ "พระสหายแห่งสายบุรี" และ " ตัวแทนพี่น้องมุสลิม" ในสามจังหวัดชายแดนใต้ทุกๆคน |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น